Dialysis: What You Need To Know

สารอาหารสำคัญที่วงการแพทย์ระดับโลกแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง

สารอาหารสำคัญที่วงการแพทย์ระดับโลกแนะนำ
สารอาหารสำคัญที่วงการแพทย์ระดับโลกแนะนำ
สารอาหารสำคัญที่วงการแพทย์ระดับโลกแนะนำ

ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับสารอาหารอย่างพอเพียงจะส่งผลให้ร่างกายสามารถสู้กับโรคและรับมือกับการรักษาตามแผนที่วางไว้ได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้หน่วยงานทางทางการแพทย์และโภชนาการระดับโลก เช่น The European Society for Clinical Nutrition and Metabolism หรือ ESPEN ซึ่งเป็นสมาคมผู้เชี่ยวชาญด้านการให้อาหารทางหลอดเลือดดำและทางเดินอาหารแห่งยุโรป ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับสารอาหารสำคัญสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งไว้ดังนี้1  

  • ความต้องการพลังงานอยู่ที่ 25 – 30 กิโลแคลอรี/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน
  • ความต้องการโปรตีนอยู่ที่ 1.0 – 1.5 กรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน
  • ความต้องการวิตามินและแร่ธาตุ ผู้ป่วยโรคมะเร็งควรได้รับตามปริมาณสารอาหารอ้างอิงที่แนะนำต่อวัน (Recommended Dietary Allowances -RDA) เช่นเดียวกับคนทั่วไป ไม่แนะนำให้เสริมในปริมาณสูงหากไม่มีข้อบ่งชี้ว่าร่างกายขาดสารอาหารนั้นๆ 

พลังงาน

สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งควรได้รับ 25 – 30 กิโลแคลอรี/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน  ซึ่งใช้เป็นค่าเดียวกับผู้ที่มีสุขภาพดีทั่วไป หากไม่ได้มีการวัดค่าพลังงานที่ร่างกายต้องการใช้ต่อวันอย่างเฉพาะเจาะจงสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย

 โดยพลังงานจะได้รับจากอาหารหลักหมวดต่างๆ ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน 

วิธีคำนวณว่าแต่ละคนควรได้รับพลังงานต่อวันเท่าไร

น้ำหนักตัว หมายถึง น้ำหนักตัวที่เหมาะสมตามส่วนสูง (Ideal Body Weight, IBW) 2

ผู้ชาย  : ส่วนสูง (เซนติเมตร) - 100

ผู้หญิง : ส่วนสูง (เซนติเมตร) - 105 

ตัวอย่าง : ผู้ป่วยมะเร็งหญิงสูง 160-105 = 55 กิโลกรัม คือน้ำหนักตัวที่เหมาะสม

ดังนั้นผู้ป่วยหญิงน้ำหนัก  55 กิโลกรัม จึงต้องการพลังงาน 55 X 25-30 = 1,375 -1,650 กิโลแคลอรี/วัน 

โปรตีน

สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งควรได้รับ 1.0 – 1.5 กรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน

แหล่งโปรตีนที่ดีคือเนื้อสัตว์ไม่ติดหนังและไม่ติดมัน เช่น อกไก่ สันในไก่ สันในหมู เลี่ยงเนื้อแดงและเนื้อสัตว์แปรรูป ส่วนเนื้อปลาถือเป็นโปรตีนคุณภาพสูงย่อยง่าย  ไข่ นมและผลิตภัณฑ์จากนม ส่วนถั่วต่างๆ ก็ให้โปรตีนเช่นกัน แต่โปรตีนจากเนื้อสัตว์คุณภาพดีกว่าเพราะมีกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายต้องการ3

ดังนั้นผู้ป่วยหญิงน้ำหนัก 55 กิโลกรัม จึงควรได้รับโปรตีน 55 X 1-1.5 = 55-82.5 กรัมต่อวัน 

นอกจากนี้สมาคมผู้ให้อาหารทางหลอดเลือดดำและทางเดินอาหารแห่งยุโรป (The European Society for Clinical Nutrition and Metabolism -ESPEN) และสมาคมผู้ให้อาหารทางหลอดเลือดดำและทางเดินอาหารแห่งสหรัฐอเมริกา (American Society for Parenteral  and Eternal Nutrition- ASPEN ยังแนะนำให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งเสริมด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 หรือน้ำมันปลา1,4 ซึ่งในน้ำมันปลามีส่วนประกอบของกรดไขมันสำคัญที่ชื่อว่าอีพีเอ (Eicosapentaenoic Acid หรือ EPA) โดยปริมาณของอีพีเอที่ควรได้รับคือ 2 กรัมต่อวัน เนื่องจากอีพีเอมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ (anti-inflammatory) จึงมีส่วนช่วยลดสารอักเสบที่ทำให้รู้สึกเบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลด ช่วยให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งมีความอยากอาหาร รับประทานได้มากขึ้น บรรเทาการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อและคงน้ำหนักตัว ทั้งนี้ร่างกายคนเราไม่สามารถสร้างอีพีเอขึ้นมาได้เอง จะต้องได้จากการรับประทานอาหารเท่านั้น โดยอีพีเอมีอยู่ในปลาทะเลน้ำลึก ดังนั้นในแต่ละวันถ้าจะให้ได้รับอีพีเอในปริมาณที่แนะนำ อาจต้องรับประทานปลาทูน่าจำนวนมากถึง 1 กิโลกรัมเลยทีเดียว หรือเทียบเท่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลาขนาด 1,000 มก. จำนวน 12 แคปซูล/วัน ซึ่งเป็นปริมาณมากและอาจเป็นเรื่องยากในการรับประทานของผู้ป่วยโรคมะเร็ง 

ดังนั้นเพื่อให้ได้ปริมาณสารอาหารครบถ้วน อาจเลือกเสริมด้วยอาหารทางการแพทย์สูตรสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง ที่ให้ทั้งพลังงานและโปรตีนสูง รวมถึงมีปริมาณอีพีเอที่เหมาะสม (เมื่อรับประทาน 2 หน่วยบริโภคต่อวัน จะได้รับอีพีเอ 2.2 กรัม)  ซึ่งการรับประทานอย่างต่อเนื่องยังมีส่วนช่วยเพิ่มความอยากอาหาร คงมวลกล้ามเนื้อและรักษาน้ำหนักตัว ลดความเสี่ยงต่อภาวะทุพโภชนาการที่เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งมีสุขภาพอ่อนแอลงและอาจต้องยุติการรักษาก่อนกำหนด

เอกสารอ้างอิง:
1.       Arends J, et al. Clinical nutrition. 2017;36:1187-1196. 

2.       โภชนาการเพื่อสุขภาพที่ดี [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: https://shorturl.asia/Qs9YE

3.       อาหารบำรุงเลือดในผู้ป่วยรักษามะเร็ง [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: https://shorturl.asia/lVedy

4.       August DA, et al. JPEN J Parenter Enteral Nutr. 2009:35(5);472-500.

TH.2024.54375.PRO.1 (v1.0) © 2024 Abbott

*ร่วมกับการรับประทานอาหารหลักให้หลากหลายครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

อาหารทางการแพทย์ ต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์

Related Articles