Dialysis: What You Need To Know

“กรดไขมันอีพีเอ” ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันผู้ป่วยมะเร็ง

“กรดไขมันอีพีเอ” ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันผู้ป่วยมะเร็ง
“กรดไขมันอีพีเอ” ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันผู้ป่วยมะเร็ง
“กรดไขมันอีพีเอ” ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันผู้ป่วยมะเร็ง

ภาวะทุพโภชนาการและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ จากการรักษาทั้งเคมีบำบัดและรังสีรักษาเป็นปัญหาสำคัญของผู้ป่วยโรคมะเร็ง โดยเฉพาะทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง ปัจจุบันทางการแพทย์จึงมีการใช้โภชนาการเสริมภูมิคุ้มกัน (Immunonutrition) ในการดูแลผู้ป่วย ซึ่งเป็นการใช้สารอาหารต่าง ๆ มาช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน (Immune nutrients) นอกจากจะเสริมภาวะโภชนาการแล้ว ยังควบคุมการตอบสนองของภูมิคุ้มกันและลดการอักเสบของร่างกายในผู้ป่วยมะเร็ง ปัจจุบันมีสารอาหารที่จัดว่ามีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ได้แก่ กรดไขมันโอเมก้า 3 อาร์จินีน กลูตามีน นิวคลีโอไทด์ พรีไบโอติกและโพรไบโอติก ทั้งนี้สารอาหารเหล่านี้ส่วนใหญ่พบได้ในอาหารชนิดต่าง ๆ1

อย่างไรก็ตามกรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (PUFAs) มีความจำเป็นต่อร่างกาย แต่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ต้องได้จากการรับประทานอาหารเท่านั้น โดยกรดไขมันโอเมก้า 3 ประกอบด้วยกรดไขมันอีพีเอ (Eicosapentaenoic Acid หรือ EPA) กรดไขมันดีเอชเอ (Docosahexaenoic Acid หรือ DHA) ทั้งสองชนิดนี้พบได้ในอาหารทะเล เช่น ปลาทะเลน้ำลึก และกรดไขมันเอแอลเอ (Alpha-Linolenic Acid หรือ ALA) พบได้จากอาหารประเภทธัญพืช กรดไขมันโอเมก้า 3  มีส่วนช่วยในการทำงานของเซลล์ในร่างกาย เป็นส่วนประกอบสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นโครงสร้างและสนับสนุนการทำงานร่วมกันระหว่างเซลล์ต่าง ๆ ทั้งหมดในร่างกาย รวมถึงระบบภูมิคุ้มกันด้วย2    

โดย The European Society for Clinical Nutrition and Metabolism หรือ ESPEN สมาคมผู้เชี่ยวชาญด้านการให้อาหารทางหลอดเลือดดำและทางเดินอาหารแห่งยุโรป แนะนำให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มีความเสี่ยงปานกลางและสูงต่อการเกิดภาวะทุพโภชนาการ (โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีแผนผ่าตัดทางเดินอาหารส่วนบน) ควรได้รับโภชนาการเสริมภูมิคุ้มกันในช่วงของการผ่าตัดผ่านทางการรับประทานหรือการรับอาหารทางสายให้อาหาร3

อย่างไรก็ตามผลด้านการเสริมภูมิคุ้มกันของกรดไขมันโอเมก้า 3 (ที่มีอีพีเอและดีเอชเอ) ได้มีการศึกษาในผู้ป่วยโรคมะเร็งหลายชนิด ตัวอย่างเช่น มะเร็งเต้านม โดยให้ผู้ป่วยที่เพิ่งได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านม ได้รับน้ำมันปลาวันละ 2 กรัม ซึ่งประกอบด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 รวม 1.8 กรัม เป็นเวลา 30 วัน พบว่าสามารถช่วยรักษาระดับของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งก็คือเม็ดเลือดขาวซีดี 4 (และรักษาระดับของค่าการอักเสบในร่างกาย hsCRP ไม่ให้สูงขึ้นได้ ผลการศึกษานี้จึงยืนยันถึงประโยชน์ของอีพีเอและดีเอชเอที่มีต่อระบบภูมิคุ้มกันและการลดการอักเสบในผู้ป่วยกลุ่มนี้ 4

นอกจากนี้ยังมีการศึกษาในผู้ป่วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร 65 ราย ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดมะเร็ง ซึ่งในการผ่าตัดทางเดินอาหารอาจส่งผลทำให้เยื่อบุทางเดินอาหารเสียหาย สารต่าง ๆ ในทางเดินอาหารอาจรั่วซึมผ่านเข้าสู่กระแสเลือดได้ เช่น สารพิษของแบคทีเรีย ทำให้เกิดการอักเสบ เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อ ถ้าเยื่อบุสมบูรณ์ก็จะลดผลข้างต้นได้ โดยการศึกษานี้แบ่งผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ได้รับอาหารทางการแพทย์ที่มีอีพีเอซึ่งจัดเป็นโภชนาการเสริมภูมิคุ้มกัน (Immunonutrition) ทางสายให้อาหาร 30 คน และกลุ่มควบคุมที่ได้รับอาหารทางการแพทย์สูตรมาตรฐานทางสายให้อาหาร 35 คน โดยให้ตั้งแต่ก่อนผ่าตัด 4 วัน จนถึงวันผ่าตัด และหลังผ่าตัดวันที่ 3-14 ผลพบว่าค่าต่าง ๆ ที่บ่งชี้ถึงความเสียหายของชั้นเยื่อเมือกในลำไส้ในกลุ่มที่ได้รับโภชนาการเสริมภูมิคุ้มกันลดลงต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่วันที่ 3 หลังผ่าตัด อีกทั้งยังมีภาวะแทรกซ้อนและค่าการอักเสบหลังการผ่าตัดที่ต่ำกว่ากลุ่มควบคุม นอกจากนี้เมื่อผ่านไปหนึ่งเดือนยังพบว่ามีระดับภูมิคุ้มกัน ซึ่งวัดจากเม็ดเลือดขาวชนิดซีดี 4 และ ซีดี 8 ที่สูงกว่ากลุ่มควบคุมอีกด้วย ซึ่งหมายความว่าการให้โภชนาการเสริมภูมิคุ้มกันด้วยอาหารทางการแพทย์ที่มีอีพีเอในผู้ป่วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหารที่รักษาด้วยการผ่าตัด มีส่วนช่วยคงไว้ซึ่งการทำงานของชั้นเยื่อเมือกในลำไส้ที่ทำหน้าที่ป้องกันการซึมผ่านของสารที่เป็นอันตรายไปยังกระแสเลือด จึงมีส่วนช่วยลดการอักเสบทั่วร่างกายและลดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด ทั้งยังมีส่วนช่วยส่งเสริมการทำงานของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันและเร่งการฟื้นตัวของผู้ป่วย5

ภูมิคุ้มกันของร่างกายถือเป็นปราการสำคัญในการปกป้องสุขภาพของผู้ป่วยโรคมะเร็ง ดังนั้นการเสริมด้วยอาหารทางการแพทย์สูตรสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มีกรดไขมันอีพีเอสูงจึงมีประโยชน์ไม่เพียงลดความเสี่ยงของภาวะทุพโภชนาการ แต่ยังช่วยเสริมสร้างให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้นอีกด้วย

เอกสารอ้างอิง:
1.Jiuwei C, et al. Precis Nutr 2023;2(1):e00031. 

2. What are omega-3 fatty acids and what do they do? [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: https://shorturl.asia/rQSU9 

3. Arends J, et al.Clinical nutrition. 2017;36:1187-1196.  

4. Paixao EMDS, et al. Nutr J. 2017;16(1):71.

5. Ma M, et al. Nutrients. 2023;15:4566.

TH.2024.54375.PRO.1 (v1.0) © 2024 Abbott

*ร่วมกับการรับประทานอาหารหลักให้หลากหลายครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

อาหารทางการแพทย์ ต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์

Related Articles